สถานที่ชุมนุมของคนตระกูล " ยี่สาร" เชิญเข้ามาพูดคุย หรือฝากข่าวถึงกัน

เวบบอร์ดของคน ตระกูล " ยี่สาร"
ยินดีต้อนรับทุกท่าน

โปรดทราบกฏกติกาการใช้เวบบอร์ดนี้

1.เวบบอร์ดนี้ เป็นของครอบครัวยี่สาร ทุกท่านที่อยู่ในทุกจังหวัด และ ทุกประเทศทั่วโลก ได้ใช้เป็นช่องทาง
และพื้นที่ในการเข้ามาพูดคุย ส่งข่าวคราว ถึงกันอย่างเสรี

2.อนุญาติให้ใช้ภาษาถนัดของครอบครัวได้ แต่ห้ามให้คำหยาบคาย

3.สามารถโพสต์ได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ


4.การพูดคุยโปรดให้ความเคารพความคิดเห็นผู้ อื่นด้วย


5.หากต้องการ โพสต์ข้อความครั้งแรกต้อง
" ลงชื่อเข้าใช้"ก่อน ( อยู่ด้านขวามือ) ต่อไปก็เข้ามาด้วยชื่อนั้น
ไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้ทุกครั้ง


6.เมื่อจะโพสต์ข้อความ ให้กดที่คำว่า
" ความคิดเห็น" ข้าง ล่างของแต่ละบทความ

7.ขณะนี้ได้เพิ่มเวบบอร์ดหน้า 2 แล้ว
หากจะกลับไปหน้า 1 ให้คลิ๊กที่ " บทความที่เก่ากว่า " เมื่อจะมาหน้า 2 ก็คลิ๊กทีี่่
" บทความที่ใหม่กว่า " อยู่ใต้กล่องที่พิมพ์ แสดงความคิดเห็น


ขอให้มีความสุขในการชมบล๊อกนี้ทุกท่าน



วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“เมื่อฉันแก่ตัวลง” ฉบับครอบครัวยี่สาร

ได้รับเรื่องนี้จากเพื่อน และเห็นว่าน่าจะเป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่เป็นลูกทุกคน ทั้งที่อยู่ใกล้พ่อแม่และห่างไกลกับท่าน เพราะบ่อยครั้งที่เรามักลืมตระหนักถึงความรักของพ่อแม่ และอาจเผลอทำร้ายความรู้สึกของท่านโดยไม่ตั้งใจ....
เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นต้องมีภารกิจเดินทาง และตั้งถิ่นฐานอยู่ไกลจากพ่อแม่ แต่ก็มักติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับแม่อยู่เสมอ...
แม่มักจะบอกเขาว่า“ไม่ต้องห่วงแม่”ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่า แม่เริ่มคิดถึงเขามาก
จนกระทั่งปีนึง ที่แม่มีอายุครบ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยสัก 1 เดือน ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว
 พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ รื้อเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย...
 พอลูกกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่ คนก่อนหน้านี้เลย...
แม่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท 
ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย...แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์ และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อแม่จริงๆ
สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม...
เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เขาพบว่าสุขภาพแม่แย่ลงโดยเฉพาะสาย
ตา บางครั้งเขาพยายามชวนแม่ไปกินอาหารนอกบ้าน  แม่ก็บอก
อาหารข้างนอกไม่สะอาด

เมื่อเขาบอกแม่ว่า จะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน  แม่ก็โวยวายว่า 
แม่เองยังสามารถทำงานได้...
 เขาเลยพูดไม่ออก พอเขาจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน ไม่ได้ซื้ออะไรเลย 
เมื่อเขาคุยกับเพื่อนในเรื่องทันสมัย... แม่ก็หาว่าพวกเขาเพี้ยน เขาก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ก็ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆ บ้าง... 
ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ เขาเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่แม่ลูกเขาก็ไม่เคยทะเลาะกันนะ พอเขาขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา นัยน์ตามีแววเหม่อลอย – โรคซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ ....
 ได้เวลาที่เขาจะเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ ในช่วงที่เขาไม่อยู่ แม่เริ่มสนใจข่าวสารบ้านเมือง ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในจังหวัดนั้นๆ แม่จะต้องตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้เขา ตอนที่เขากลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่ไกลบ้านต้องระวังตัวให้มากๆ...
แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือเขาเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก เขาเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะเขาไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เขารู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้...
 ทันใดนั้น มีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง   
เขารู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที
เขาหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่เขาเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนี้คัดมาจาก นิตยสารฉบับหนึ่งของแม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน เขาอ่านบทความนั้น รวดเดียวจบทันที...





 





สุดท้าย...เท่าที่ทราบ ลูกชายก็ตัดสินใจไม่ขนสัมภาระบางอย่างกลับไป แต่ขนหนังสือพิมพ์ที่แม่เขาตัดไว้ให้ทั้งหมดไปด้วย...
 
ทุกคนทราบ ทุกคนรู้ดี ทุกคนเห็นด้วย พ่อแม่รักเรา...
แต่จะสักกี่คน...ที่สามารถดูแลท่านได้ดีเสมือนหนึ่ง
ที่ท่านได้ให้เรา หรือกระทำต่อท่านให้ดีกว่าที่เราได้รับ
 
ขอให้ลูกกตัญญูทุกคน....โชคดีมีความสุขตลอดไป


5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 กรกฎาคม 2555 เวลา 10:28

    "เมื่อฉันแก่ตัวลง"ฉบัยครอบครัวยี่สาร ถึงจะไม่แจ่มแจ๋วสบายตาสบายใจ
    เท่าฉบับเดิมในบล็อกป้าLily ก็พอชื่นชมได้ ทำให้เกิดความสำนึกที่ดีต่อผู้มี
    พระคุณ ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ หากขาดไปเหมือน
    ขาดคุณค่าของชีวิต แต่ถึงอย่างไรความสุขความสบายใจที่แท้จริงทุกคนด้องทำให้
    ตนเอง ลูกหลานคนไหนก็ทำให้ทุกอย่างไม่ไดั ดังนั้นทุกคนจึงควรทำในสื่งที่พึง
    กระทำ สัจธรรมของผู้รู้ท่านหนึ่งจากวัดบ้านนอกเคยเตือนทุกคนไว้ว่า"คุณยังห่วงใคร
    คุณจะเป็นทุกข์เพราะคนนั้น" ก็ต้องพิจารณาเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด
    ...คนท่าพุ่ง

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ6 กรกฎาคม 2555 เวลา 08:49

    "เมื่อฉันแก่ตัวลง"ฉบับครอบครัวยี่สาร ถึงจะไม่แจ่มแจ๋วน่ารักน่าชังเท่า
    ฉบับเดิมในบล็อกป้าLily ก็พอชื่นชมได้ ทำให้เกิดความสำนึกที่ดีต่อผู้มีพระคุณ
    ความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ หากขาดไปเหมือนขาด
    คุณค่าของชีวิต แต่ถึงอย่างไรความสุขความสบายใจที่แท้จริงทุกคนด้องทำให้
    ตนเอง ลูกหลานคนไหนก็ทำให้ทุกอย่างไม่ไดั ดังนั้นทุกคนจึงควรทำในสื่งที่พึง
    กระทำ ความอดทนอดกลั้นในภาระที่ต้องตอบแทนดูแลบุพการีนับเป็นความโชตดี
    อย่างหนื่ง เป็นมงคลแก่ตนเองและทำให้รู้จักสัจธรรมของชีวิตยิ่งขึ้น ก็ขอให้แต่ละคน
    ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด...คนท่าพุ่ง

    ตอบลบ
  3. อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่ดีครับป้าลิลี่ เอาใจช่วยหนุ่มชาวจีนคนนี้ ให้กลับมาเยี่ยมแม่ใหม่ และหากมาอยู่ได้ก็มาอยู่เลยไม่ต้องไป ๆ มา ๆ ถ้าต้องการคำปรึกษาหรือหมดกำลังใจในการอยู่กับแม่ก็แวะมาคุยกับผมได้นำครับที่สุดซอย 1 ผมมาอยู่กับพ่อและแม่ (2 ต่อ) อายุ 85 ปีแบบเต็ม ๆ ได้สองปีกับสามเดือนแล้ว

    เหตุการณ์แบบที่หนุ่มชาวจีนเจอ เป็นสิ่งที่บางคนอาจต้องเจอและต้องคิดว่าจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรหรอก มันไม่ได้ทำให้เราเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บอะไร การขึ้นเสียงกันบ้างหากอยู่ด้วยกันเป็นปี ๆ ย่อมหนีไม่พ้น เทคนิคการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เท่าที่ผมสรุปได้จากประสบการณ์ในกรณีเช่นนี้ คือ

    1. เรื่องบางเรื่องของอีกฝ่ายเราอย่าไปจัดการในรายละเอียดทั้งหมด หากมองทุกเรื่องจะกลุ้มใจ
    2. ในทางตรงกันข้าม บางเรื่องของเราหากเห็นว่าทำได้เองไม่มีเรื่องก็ทำเลยแล้วมาบอกทีหลังหรือไม่บอก
    3. ในแต่ละอาทิตย์หาช่องว่างสักสองวันแยกออกมาไกล ๆ แบบเดียวกับทำงานกินเงินเดือนหยุดเสาร์อาทิตย์
    4. ตัวเราเองต้องหากิจกรรมนอกบ้าน สนทนาและสร้างเพื่อนบ้านใหม่ ที่ช่วยลดความเครียดที่มักจะเกิดขึ้นในครอบครัว (คงเสียตังค์มากกว่าได้ตังค์)

    ลองทำดู ถ้าทำได้รับรองว่าปัญหาของหนุ่มจีนนี่เป็นเรื่องชิว ๆ ไปเลยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่มาช่วยแชร์ความคิด และเทคนิคการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข
      บางครั้งเราอาศัยความอดทนอย่างเดียว ซึ่งอาจไม่พอ
      แต่ก็ยังดีกว่า ไม่มีใครให้เราอดทนเพื่อเขา

      เคยบอกเด็กๆหลายคนที่แสดงอาการเบื่อพ่อ แม่ ว่า
      วันนี้อาจดูว่าเบื่อหน่าย แต่สักวันที่ พ่อ แม่จากคุณไปแล้ว
      คุณจะรู้ว่าคุณคิดถึงพวกท่านมากแค่ไหน ...
      และคุณจะเสียใจที่ปฏิบัติไม่ดีต่อท่าน
      ซึ่งมันก็สายไปเสียแล้ว

      ลบ