สถานที่ชุมนุมของคนตระกูล " ยี่สาร" เชิญเข้ามาพูดคุย หรือฝากข่าวถึงกัน

เวบบอร์ดของคน ตระกูล " ยี่สาร"
ยินดีต้อนรับทุกท่าน

โปรดทราบกฏกติกาการใช้เวบบอร์ดนี้

1.เวบบอร์ดนี้ เป็นของครอบครัวยี่สาร ทุกท่านที่อยู่ในทุกจังหวัด และ ทุกประเทศทั่วโลก ได้ใช้เป็นช่องทาง
และพื้นที่ในการเข้ามาพูดคุย ส่งข่าวคราว ถึงกันอย่างเสรี

2.อนุญาติให้ใช้ภาษาถนัดของครอบครัวได้ แต่ห้ามให้คำหยาบคาย

3.สามารถโพสต์ได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ


4.การพูดคุยโปรดให้ความเคารพความคิดเห็นผู้ อื่นด้วย


5.หากต้องการ โพสต์ข้อความครั้งแรกต้อง
" ลงชื่อเข้าใช้"ก่อน ( อยู่ด้านขวามือ) ต่อไปก็เข้ามาด้วยชื่อนั้น
ไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้ทุกครั้ง


6.เมื่อจะโพสต์ข้อความ ให้กดที่คำว่า
" ความคิดเห็น" ข้าง ล่างของแต่ละบทความ

7.ขณะนี้ได้เพิ่มเวบบอร์ดหน้า 2 แล้ว
หากจะกลับไปหน้า 1 ให้คลิ๊กที่ " บทความที่เก่ากว่า " เมื่อจะมาหน้า 2 ก็คลิ๊กทีี่่
" บทความที่ใหม่กว่า " อยู่ใต้กล่องที่พิมพ์ แสดงความคิดเห็น


ขอให้มีความสุขในการชมบล๊อกนี้ทุกท่าน



วันส่งย่าน้อยไปสวรรค์

เมื่อคืนวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นคืนก่อนวันส่งอาน้อยขึ้นสวรรค์  หลังพระสวดเสร็จ  ก็มีการจุดดอกไม้ไฟ และพลุ ตามประเพณี   คืนนี้ดอกไม้ไฟแม้จะสวยงาม แต่บรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบเหงาในหัวใจ  สมัยก่อนตอนที่เตี่ย แป๊ะแด่  และอาๆทุกคนยังอยู่ เวลาบ้านเรามีงาน จะยิ่งใหญ่กว่านี้มาก

คืนนี้งานของอาน้อย แม้เงียบเหงาเพราะไม่มีการละเล่นอะไรเลย  แต่ก็เป็นงานที่อบอุ่นด้วยบรรดาพี่น้อง ลูกหลานของอาน้อย พวกเรามารวมกันด้วยความเต็มใจ

ขณะที่พลุถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้า มีเสียงใครคนหนึ่งพูดออกมาว่า " เอาล่ะ สวรรค์รับรู้แล้วนะ ว่าพรุ่งนี้อาของเราจะไปอยู่บนนั้นแล้ว"  ฉันก็เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่า ที่จุดพลุก็เพื่อบอกเทวดาให้รับรู้ว่า อาของเรากำลังจะเดินทางไป

ในคืนสุดท้ายบนโลกนี้ของอาน้อย  สร้างความรู้สึกต่อต้านกัน 2 อย่างในใจฉัน

- ความคิดแรกคือเสียใจกับการจากไปของอาน้อย  และยิ่งไปแบบกระทันหันอย่างนี้ ฉันทำใจที่จะรับรู้ไม่ทัน  เพราะแม้จะเตรียมใจไว้บ้างด้วยการทำทุกอย่าง ที่จะทำให้อามีความสุขเรียบร้อยแล้ว  แต่ยังมีอีกหนึ่งภาระกิจที่ตั้งใจไว้ว่า หลังกลับจากเกาะไหหลำ ฉันจะปรับปรุงการบันทึกประวัติตระกูลเราเสียใหม่ และจะให้อาน้อยอ่านเป็นคนแรก  แต่ฉันยังไม่ทันได้ลงมือเขียน อาก็ไม่อยู่อ่านเสียแล้ว  รู้สึกเหมือนติดค้างอาน้อย อยู่ตลอดเวลา  อย่างไรก็ตาม  หากไม่มีอาน้อย  พวกเราคงอยู่อย่างไม่รู้ประวัติของครอบครัวตัวเอง  วันนี้ต้องขอบคุณอาน้อย ที่เล่าให้ลูกหลานได้รู้ถึงที่มาของพวกเรา และจะบันทึกไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปได้สำนึกรู้ถึงรากเหง้าของบรรพบุรุุษ และของตัวเอง

- อีกความคิดที่แย้งกันคือ  ดีใจที่อาน้อย จะได้เดินทางไปอยู่กับ ก๋ง ย่า และ พี่ๆน้องๆ ของท่าน เพราะช่วงที่อาน้อยอยู่คนเดียวนั้น  ท่านดูเหมือนจะเหงา แม้มีลูกหลานห้อมล้อม แต่ความคิดถึงพี่น้อง ก็คงทรมาณใจไม่น้อย  ป่านนี้ ทุกท่านคงมารับอาน้อยไปอยู่ที่บ้านของก๋งในสวรรค์แล้ว

เหลือแต่พวกเราที่ใจหายเหลือเกิน เพราะเราเคยอยู่แบบมีผู้ใหญ่ปกป้องคุ้มครองให้อุ่นใจมาตลอด  จนบางครั้งรู้สึกเหมือนเรายังเป็นหลานเล็กๆของท่านอยู่เสมอ

ช่วงที่ ก๋ง ย่า เตี่ย แม่ แป๊ะแด่ และอาๆ จากไป  โดยยังเหลืออาน้อยอยู่คนเดียวนั้น เรารู้สึกว่าท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีค่าที่สุดของเรา  เพราะอาน้อย เปรียบเหมือนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงโลกของญาติผู้ใหญ่ในสวรรค์ กับโลกของพวกเรา  อาน้อยเป็นเหมือนตัวแทนพี่น้องของท่านที่จากไปแล้ว  การได้พูดคุย หรือสัมผัสมือของอา  ฉันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสมือเตี่ย และแม่

การจากไปของอาน้อย จึงทำให้รู้สึกเหมือนว่า สายใยที่เชื่อมโยงความผูกพันธ์ขาดหายไป ต่อนี้ไปเราคงมีแต่ความคิดถึง และเก็บความผูกพันธ์ไว้ในใจ ตลอดไป



ในช่วงเป็นเด็ก แม้จะจำอะไรไม่ได้มากนัก  สิ่งที่ติดอยู่ในใจคือ ภาพที่ฉันนั่งท้ายจักร์ยานอาน้อยไปโรงเรียนทุกเช้า จำได้ว่า ขณะนั้นฉันตัวเล็กมาก ขาของฉันยังไม่ถึงที่พักเท้าข้างล้อจักร์ยาน  ฉันจึงต้องนั่งขาลอยไปตลอดทาง  บางวันคิดถึงบ้าน หรือเกเร ก็จะมีอาการร้องไห้ไปตามทางเป็นของแถมด้วย  เวลาอาน้อยขี่จักร์ยานผ่านบ้านเตี่ยกับแม่ ก็ได้แต่มองด้วยความคิดถึง  จนเมื่อเจ้ศรีขี่จักร์ยานไปโรงเรียนได้ แล้ว ฉันจึงย้ายไปนั่งท้ายเจ้ศรีแทน  ก็นับว่าโชคดีที่ไม่ต้องเดินไปโรงเรียนเหมือนพวกผู้ชาย

ช่วงที่เป็นเด็กเล็ก จำได้ว่าถูกอาน้อยดัดแขน ดัดขา อยู่เป็นประจำ ราวกับว่าอยากให้ฉันโตขึ้นเป็นนางงาม  หรือไม่อีกที ขาฉันก็คงโก่งผิดปกติ  แต่ที่รู้ๆ นิ้วฉันเรียวและงอนกว่าใคร เวลามีการแสดงที่โรงเรียน ฉันก็มักจะโดนรำละคอนอยู่ไม่ขาด ทั้งๆที่ก็ไม่ได้งดงามกว่าคนอื่น  อาจเพราะความที่เป็นหลานครูใหญ่กระมัง เลยโดนรำเป็นประจำ

ช่วงอยู่บ้านย่า ฉันชอบกินหมูโค๊ะ กับต้มจับฉ่ายมาก  และโชคดีที่ไม่ต้องกินวงเดียวกับพวกผู้ชาย  บางครั้งฉันได้กินสำรับเดียวกับย่า อาน้อย อากี่ และเจ้ศรี  ส่วนพวกผู้ชายก็จะกินกันไป ทะเลาะกันไป คนที่เดินไปดุไม่ใช่อาน้อย แต่เป็นอากี่ที่ไปพร้อมกับเสียงตุ๊บตั่บ

เวลานอน ฉันได้นอนบนร้านฝั่งขวามือ มุ้งเดียวกับเจ้ศรี  สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือการ กางมุ้ง เพราะจะได้เข้านอนโดยไม่ต้องอ่านหนังสือ ( สงสัยจะขี้เกียจเล็กน้อย)  แต่กว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ต้องทำการบ้านกับอาน้อยจนเสร็จ แถมด้วยการอ่านหนังสืออีกวันละหน้า  วันไหนอาน้อยมีงานมากก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้ศรีที่คอยคุมฉันแทน

ตอนนั้นฉันนึกน้อยใจ และไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมฉันต้องมาอยู่บ้านย่าด้วย  ทำไมฉันจึงอยู่บ้านกับเตี่ยและแม่ไม่ได้  วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า  หากไม่มีคนคอยสอน และดูแลฉันในวัยเด็กอย่างที่เป็นมา ฉันคงไม่มีอนาคตที่ดีอย่างนี้  ที่น่าเสียใจคือ ฉันยังไม่ได้ตอบแทนอะไรให้กับคนที่สร้างฉันขึ้นมาเลย

นี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่อยากบอกทุกคนว่า  หากคิดจะทำอะไรให้ใคร  ต้องทำทันที เพราะพรุ่งนี้อาจสายเกินไป และเราเรียกเวลาคืนมาไม่ได้อีกแล้ว 







ศิษย์เก่า " ท่าพุ่งวิทยา"


วันส่งย่าน้อย - วันรวมครอบครัว


























สายย่าลั่น
เจ้เนี้ยว  เจ้เค่ย  เจ้เหน่ง


1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 พฤษภาคม 2554 เวลา 21:25

    ขอร่วมอาลัยครูใหญ่ด้วยความเคารพ
    ศิษย์เก่าบ้านท่ายาง ป.เตรียมรุ่นสุดท้าย

    ตอบลบ