สถานที่ชุมนุมของคนตระกูล " ยี่สาร" เชิญเข้ามาพูดคุย หรือฝากข่าวถึงกัน

เวบบอร์ดของคน ตระกูล " ยี่สาร"
ยินดีต้อนรับทุกท่าน

โปรดทราบกฏกติกาการใช้เวบบอร์ดนี้

1.เวบบอร์ดนี้ เป็นของครอบครัวยี่สาร ทุกท่านที่อยู่ในทุกจังหวัด และ ทุกประเทศทั่วโลก ได้ใช้เป็นช่องทาง
และพื้นที่ในการเข้ามาพูดคุย ส่งข่าวคราว ถึงกันอย่างเสรี

2.อนุญาติให้ใช้ภาษาถนัดของครอบครัวได้ แต่ห้ามให้คำหยาบคาย

3.สามารถโพสต์ได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ


4.การพูดคุยโปรดให้ความเคารพความคิดเห็นผู้ อื่นด้วย


5.หากต้องการ โพสต์ข้อความครั้งแรกต้อง
" ลงชื่อเข้าใช้"ก่อน ( อยู่ด้านขวามือ) ต่อไปก็เข้ามาด้วยชื่อนั้น
ไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้ทุกครั้ง


6.เมื่อจะโพสต์ข้อความ ให้กดที่คำว่า
" ความคิดเห็น" ข้าง ล่างของแต่ละบทความ

7.ขณะนี้ได้เพิ่มเวบบอร์ดหน้า 2 แล้ว
หากจะกลับไปหน้า 1 ให้คลิ๊กที่ " บทความที่เก่ากว่า " เมื่อจะมาหน้า 2 ก็คลิ๊กทีี่่
" บทความที่ใหม่กว่า " อยู่ใต้กล่องที่พิมพ์ แสดงความคิดเห็น


ขอให้มีความสุขในการชมบล๊อกนี้ทุกท่าน



วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พาแม่เที่ยวอังกฤษ

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมานี้ เจ้าน๊อต (ชยภัชร วัชรพงศ์ ) ลูกแม่มาศ พ่อตี่  หลานก๋งพล และยายเอื้อน ยี่สาร  ได้เดินทางไปร่วมพิธีรับปริญญา จากมหาวิทยาลัย Bournemouth  ประเทศอังกฤษ  จึงถือโอกาสพาแม่ไปเที่ยวด้วย  สำหรับผู้ร่วมเดินทางนอกจากสองแม่ลูกนี้แล้วยังมีป้าการ ติดสอยห้อยตามไปด้วย เพื่อคอยเป็นเพื่อนและดูแลแม่มาศ  ( แต่เอาเข้าจริงๆ ป้าการกลับป่วยเจ็บเข่าจนเกือบเป็นตัวถ่วงซะงั้น) 

เนื่องจากมีเวลาไม่มาก การไปเที่ยวอังกฤษครั้งนี้จึงเที่ยวได้แบบผ่านๆ ให้ได้มากที่สุด จึงขอนำภาพสถานที่ที่ไปเที่ยวมาเล่าให้ญาติๆฟังและดู  รวมทั้งบรรยากาศงานรับปริญญาของพ่อหนุ่มน๊อตของเราด้วย  เชิญชมได้เลยจ้า


เริ่มจากการท่องเที่ยวในเมืองลอนดอน 





พระราชวังKensington ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงไดอาน่า ปัจจุบันยังเป็นที่ประทับของสมาชิกราชวงค์อยู่

ตึกรัฐสภา สพานWestminter และ นาฬิกา Big Ben


ชิงช้าสวรรค์ London Eye ที่ไปยืนถ่ายรูปเฉยๆ รอคิวขึ้นไม่ไหว
สถานที่หลักๆหลายแห่ง แค่นั่งรถผ่านไปเท่านั้น เพราะคนแน่นมาก เช่น พระราชวัง Buckingham และ Trafalgar Square 

 เนื่องจากป้าการขาเดี้ยงเดินไม่ไหว เราจึงใช้แท็กซี่แบบอังกฤษในการเดินทางเที่ยวในลอนดอน แท็กซี่ที่นี่มีรูปแบบที่เป็นโบราณแต่ภายในทันสมัยดีมาก อังกฤษยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้ทั้งแท็กซี่และรถเมล์สองชั้นสีแดง (เห็นข้างหลัง) ถือเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ 

 นอกจากรถแท็กซี่ และรถเมล์สองชั้นแล้ว ตู้โทรศัพท์ที่นี่ยังมีเอกลักษณ์ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปด้วย

  
สถานที่อีกแห่งที่ไปคือ ตลาด Covent Garden ที่เป็นตลาดขายดอกไม้ในสมัยโบราณ เป็นฉากในนิยาย เรื่อง My Fair Lady  ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีคนมาแสดงกลางแจ้งให้ดู มีร้านขายของที่ระลึกมากมาย ช่วงนี้เขาเริ่มแต่งสถานที่รับเทศกาลคริตมาสกันแล้ว

 วันที่ไปเป็นวันทหารผ่านศึกของอังกฤษพอดี มีทหารมาแสดงการสวนสนาม และขายดอกป๊อปปี้ เราก็ช่วยทำบุญกับเขาด้วย




 นอกจากตลาดแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือการไปช๊อปปิ้งที่ห้าง Harrods เพื่อซื้อของฝากหลานๆ แต่ดูเหมือนอามาศ จะได้ของตัวเองมากกว่า


ตกเย็นโทรฯเรียกเจ้ามิว ลูกแม่กล้วย พ่อประสาน หลานก๋งอินทร์ ยี่สาร มากินข้าวด้วย เพราะเจ้ามิวเรียนอยู่ที่เมือง Surrey ไม่ไกลมากนัก
ร้านที่ไปกินชื่อ ร้านDa Mario ซึ่งเป็นร้านโปรดของเจ้าหญิงไดอาน่า (มีรูปอยู่ข้างหลัง) วันนี้เจ้ามิวดูเรียบร้อยผิดปกติ จนป้าการต้องถามว่าเป็นอะไร  ได้คำตอบว่าเป็นไข้หวัดเพิ่งหาย มิน่าล่ะนั่งเงียบเลย  ถึงจะไม่สบาย แต่หน้าก็ยังป่องเป็นซาละเปา สมกับเป็นสาวตระกูลเดียวกัน ดูแล้วเหมือนซาละเปา 3 ใบ

 สถานที่อีกแห่งที่เราพลาดไม่ได้คือตลาด Portobello ซึ่งเปิดเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ เป็นตลาดแบบปิดถนนขายของน่าเดินมาก


อากาศหนาวมาก ป้าการเริ่มมีอากาปวดหัวต้องคว้าหมวกมาใส่ (สงสัยติดหวัดเจ้ามิวแหง๋ๆๆ) 

 ที่นี่มีสินค้าที่ป้าการโปรดเอามากๆหลายอย่าง โดยเฉพาะถ้วยชา กาแฟ ที่สามารถซื้อได้หลายใบล้วนเป็นของเก่าอายุมากกว่าร้อยปี 


หลังจากเที่ยวในลอนดอนจนทั่วแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเมือง Cambridge ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัย แต่โชคร้ายที่ฝนตกทั้งวัน เราจึงได้ชมเมืองแบบเปียกๆ ได้ไม่นาน ก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังเมืองอื่น 

เราเดินทางไปยังเมือง Oxford ซึ่งเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นคู่แข่งของเมือง Cambridge มาตลอด 

แต่ละหว่างทาง เราก็ผ่านเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่ชื่อ Bicester ซึ่งเป็นเมืองที่มี Outlet ขายสินค้าแบรนด์แนมทุกยี่ห้อ เราก็แวะเยี่ยมญาติผู้ใหญ่หลายท่าน อาทิเช่น ป้าดา (Prada) ลุงเบอรี่ (Burberry) น้ามัล ( Mulberry) และคุณปู่เวอ์ ( Versace) กันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะต่อไปยังเมือง Oxford


เมือง Oxford






  เมือง Oxford เป็นเมืองเล็กพอๆกับเมืองCambridge เต็มไปด้วยตึกเก่า โบสถ์ และมหาวิทยาลัย วันที่เราไปถึงอากาศดีมากเหมาะแก่การถ่ายรูปและท่องเที่ยว

 มหาวิทยาลัยของเมืองนี้ได้เป็นฉากในหนังเรื่อง Harry Potter และ Alice in wonderland ด้วย 

 อามาศขึ้นรถนำเที่ยวในเมืองโดยนั่งชั้นบนหลังคา  (แต่ได้ข่าวว่านั่งหลับอ่ะ) ส่วนป้าการขึ้นไม่ไหวนั่งข้างล่างตามระเบียบ

 เดินชมเมืองยามบ่าย

หลังจากเที่ยวเมืองOxford เสร็จเราก็ตียาวไปยังเมือง Bournemouth ซึ่งเป็นเมืองที่ น๊อตเรียนกันเลย เพราะจากเมืองนี้เราสามารถไปเที่ยวเมืองอื่นได้เพราะไม่ไกลกันมากนัก 

จาก Bournemouth เราไปเที่ยวต่ออีกเมือง คือเมือง Bath แต่ก่อนจะถึงเมืองนี้ เราต้องผ่านสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงของโลก นับเป็นหนึ่งใน เจ็ดสถานที่มหัศจรรค์ของโลก นั่นคือ กลุ่มก้อนหินที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ชื่อ Stonehengไม่ทราบว่าใครเป็นคนสร้าง และสร้างเมื่อไร เพื่ออะไร บางคนบอกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมาสร้างไว้


 ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง Bath 


พอมาถึง สองแม่ลูกก็หิวโซจึงรีบซื้อฮ๊อตดอกกินแก้หิว กันทันที

เมืองBath เป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของสถานที่อาบน้ำร้อนแบบชาวโรมัน ที่เรียกว่า Roman Bath ตัวอาคารและระบบน้ำเป็นของโบราณอายุหลายร้อยปี แต่ยังคงใช้ได้อยู่ 

 หากมาอังกฤษแล้วไม่กินชาแบบอังกฤษ คงผิดประเพณี และได้ชื่อว่ามาไม่ถึงแน่ๆ ที่เมืองนี้มีร้านน้ำชาที่มีชื่อเสียงอยู่ (ที่จริงมีทุกเมือง)  เราจึงรีบเดินไปกินในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ร้านนี้ชื่อร้าน Sally Lunn ได้ชื่อว่าเป็น Historic Eating House & Museum เป็นร้านที่น่ารักเอามากๆ


ร้านนี้มีชื่อเรื่อง Bun หรือขนมปังก้อนกลมๆนุ่มๆ ทาเนยหรือหน้าอื่นๆ แต่ที่ลองชิมดู Scone ของที่นี่อร่อยเลิศ (ที่เมืองไทยร้านกาแฟบางร้านประกาศตัวว่าเป็นเลิศด้าน Scone แต่กินไม่เป็นสัปรด)
หลังจากกินชาแบบอังกฤษยามบ่ายแล้ว พวกเราก็รีบเดินทางกลับเมือง Bournemouth เพื่อจะได้เตรียมตัวสำหรับงานรับปริญญาวันรุ่งขึ้น โดยทั้งป้าการ และ อามาศ กินข้าวเย็นไม่ลงเนื่องจาก ขนม Bun ร้านน้ำชายังจุกแอ๊ก จึงรีบเข้านอนเลย


 ตื่นแต่เช้ามาชมบรรยากาศเมือง Bournemouth ซึ่งเป็นเมืองตากอากาชายทะเลที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อด้านการท่องเที่ยวของอังกฤษ
 



รรยากาศภายในเมืองเล็กๆที่น่ารัก 




มีห้างสรรพสินค้า และร้านเล็กๆให้เลือกซื้อของมากมาย 

  ร้าน Cath Kidston ที่เรารีบเข้าไปซื้อของฝากหลานๆ และตัวเอง (อีกแย๊ว)

บอลลูนเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองนี้ (เช่นเดียวกับปูทะเล) บอลลูนจอดอยู่ในสวนสาธารณะในเมือง ใครจะขึ้นต้องเสียตังค์จ๊ะ


และก็มาถึงเวลาที่รอคอย นั่นคือพิธีรับปริญญา

พิธีนี้จัดที่หอประชุมของเมือง Bournemouth โดยมีบาทหลวงหรือเจ้าคณะทางศาสนาคริตส์ของเมืองนี้มาเป็นประธาน เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ 

ก่อนมาอังกฤษ มีหลายคนบอกว่า นักเรียนเมืองนอกไม่ค่อยชอบมารับปริญญา แต่เท่าที่เห็นว้นนี้ ไม่เหมือนอย่างที่ได้ยินมา ทุกคนจะตื่นเต้นกันมาก ไม่ใช่แค่ตัวนักเรียน แต่เป็นกันทั้งบ้าน 

โดยบัณฑิตทั้งปริญญาตรี และโท จะแต่งตัวกันอย่างสวยงามราวกับว่าเป็นงานพิธีหมั้น ส่วนผู้ปกครองก็มากันแบบชุดใหญ่เช่นกัน แต่ละบ้านขนกันมาเชียร์ เหมือนเชียร์รายการ The Star บรรยากาศสนุกสนานมาก

  แม่มาศ กับป้าการ มาถึงหอประชุม น๊อตต้องแยกตัวไปลงทะเบียน และแต่งชุดครุยอีกบริเวณหนึ่ง

 เข้าคิวรับเสื้อครุย

 ได้เสื้อครุยแล้ว ต้องไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาใส่ให้


 อาจารย์ช่วยแต่งตัวให้

 สอนวิธีใส่หมวก 
(ตามมารยาทคนอังกฤษ เวลาจะเคารพกันต้องถอดหมวกคำนับกัน)

 ป้าการ พาแม่มาศ ขึ้นไปนั่งในส่วนของผู้ปกครอง เราไปกันสองคน กับเพื่อนน๊อตอีก1คน กลัวว่าเสียงเชียร์จะไม่มี เกรงว่าจะไม่มีคนตบมือให้ลูกหลานเราจังเลย


 บรรยากาศก่อนเริ่มพิธี บัณฑิตกำลังเดินเข้าประจำที่นั่งของตัวเอง

 
  เราสองคนนั่งรอเงียบๆ บ้านอื่นมากันหลายคน คึกคักมาก


 ระหว่างรอก็มีเพลงจากวงออเคสตร้าของมหาวิทยาลัย
บรรเลงเพลงให้ฟัง

 ที่นั่งของบรรดาอาจารย์ และอธิการบดี ของมหาวิทยาลัย

 ผู้ดำเนินรายการเริ่มประกาศ

 พิธีทำแบบอังกฤษ มีคนถือคฑาเดินนำเจ้าคณะสงฆ์ ของเมือง 
และบรรดาอาจารย์เข้าสู่ห้องพิธี ทุกคนในห้องต้องลุกขึ้นยืนต้อนรับ ขบวนเดินเข้ามาตามเสียงเพลงจากวงดนตรี

 และขึ้นไปนั่งบนเวที

 บัณฑิตคนแรกน่าจะเป็นพวกเกรียติ์นิยม ที่ได้รับการสวมเสื้อครุยให้โดยเจ้าคณะทางศาสนา

 และต่อด้วยบัณฑิตปริญญาโท โดย เจ้าน๊อตอยู่ในช่วงต้นๆ 
กำลังจะเดินขึ้นเวที (คนที่ 4)


 ยืนรอเรียกชื่อ ซึ่งกว่าอาจารย์จะอ่านได้ก็นานกว่าคนอื่น โดยอ่านว่า

 ชา-ยา-วั๊ต   วั๊ต-ชา-รา-พ๊ง 
( ชยวัตร วัชรพงศ

 เดินเข้าไปคำนับเจ้าคณะของเมืองซึ่งเป็นประธานของพิธี

 จับมือกับอธิการบดี 
 เดินลงจากเวทีเพื่อรับใบปริญญาจากอาจารย์ 

และช่วงเวลาที่น่าห่วงของเราที่กลัวว่าจะไม่มีใครตบมือให้ก็หมดไป เพราะทุกคนในห้องตบมือให้บัณฑิตทุกคน  เราจึงต้องตบมือให้ลูกคนอื่นด้วยเป็นการตอบแทน แต่หลายครอบครัวส่งเสียงเชียร์เวลาลูกตัวเอขึ้นเวที บรรยากาศอบอุ่น และสนุกสนานมาก


ในช่วงท้าย อธิการบดีกล่าวให้โอวาส มีความหมายดีมาก โดยบอกบัณฑิตว่า 
      แม้วันนี้จะ ดูเหมือนว่าคุณมาเดินขึ้นเวที แล้วลงไป แต่หากคิดให้ดี คนที่กำลังจะขึ้นเวทีคือคนที่ยังเป็นเด็ก แต่คนที่เดินลงจากเวทีไปนั้นคือผู้ใหญ่แล้ว  ต่อไปนี้ทุกคนต้องดูแลชีวิตตัวเอง จะหวังให้มีคนหนุนหลังเหมือนวันก่อนๆไม่ได้แล้ว หมดเวลาที่จะให้คนมาเลี้ยงดู และดูแลชีวิตคุณแล้ว
      และสำหรับครอบครัว คือพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนทุกคนทางบ้าน ล้นเป็นผู้ช่วยนำทางคุณมาให้ถึงเวทีนี้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้สอนการเดินก้าวแรกในชีวิตคุณ หากไม่มีพวกเขาคุณคงมาไม่ถึงเวทีนี้ ในวันนี้
     ดังนั้น คุณทุกคนจงหันหลังกลับไปมองพวกเขาที่เดินทางมาให้กำลังใจคุณในวันนี้ แล้วตบมือเพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยสร้างอนาคตให้คุณทุกคนด้วย

 บรรยากาศที่พวกลูกๆ หันมาขอบคุณพ่อแม่ และครอบครัว อบอุ่นมาก โดยบรรดาผู้ปกครองก็ยืนขึ้นตบมือให้ ก่อนจะจบพิธีในวันนี้

 ถ่ายรูปกับแม่หลังเสร็จพิธี



  หลังรับปริญญาเสร็จ รุ่นน้องของน๊อต ก็มาแสดงความยินดีหลายคน


 แม่มาศ กับป้าการ ยืนดู
 ช่วงเย็นหลังเสร็จพิธีรับปริญญา เราก็ไปหาที่เลี้ยงฉลองกัน
ในเมือง Poole ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน

 เป็นร้านอาหารทะเล เพราะเมืองนี้อยู่ติดทะเล ปูจึงเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของเมือง ร้านนี้ก่อนกินทุกคนต้องใส่ผ้ากันเปื้อนเป็นรูปปูก่อนน่ารักดีอ่ะ




เราจบการฉลองรับปริญญากันด้วยอาหารทะเลถาดใหญ่นี้ ขอเชิญพี่ ป้า น้า อา ย่า ยาย ลุง ก๋ง แป๊ะแด่ ทั้งหลาย มาฉลองด้วยกันเลยค่ะ 

ต้องขอจบเรื่องเล่าเท่านี้ วันหลังจะนำเรื่องเล่าสนุกๆของครอบครัวมานำเสนออีก ปรดติดตามนะจ๊ะ